เว็บหน้าติดตาม

วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553

อังกฤษดีพอเป็นแชมป์โลก?


ทีมชาติอังกฤษได้รับการคาดหวังสูงเสมอในการลงเล่นแต่ละทัวร์นาเมนต์ซึ่งฟุตบอลโลกคราวนี้พวกเขาถูกยกให้เป็นเต็ง 2 รองจากบราซิลและสเปน เท่านั้น



อย่างไรก็ตามคุณเชื่อหรือเปล่าว่าพวกเขาจะดีพอเป็นแชมป์สมัยสอง?

ถ้าบอกว่าสิงโตคำรามมีโอกาสดีสุดในรอบหลายสิบปีหรือตั้งแต่ปี 1966 ก็พอกล้อมแกล้มเห็นชอบได้เมื่อดูจากอายุนักเตะแกนหลักที่กำลังพีกรวมถึงมีผู้จัดการทีมที่ชื่อ ฟาบิโอ คาเปลโล่

ทว่านั้นเพียงพอแล้วเหรอ?

ผลงานยามเจอทีมใหญ่ที่ผ่านมาอังกฤษก็ไม่ดีแพ้ สเปน 0-2 และ บราซิล 0-1

กว้างขว้างคอเหล่าอิงลิชชนก็คือสองชาตินี่แหละเมื่อมองถึงศักยภาพทั้งหมดส่วนทีมอื่นๆอย่าง อาร์เจนตินา, เยอรมัน, ฝรั่งเศส และ ฮอลแลนด์ ก็ไม่สามารถประมาทได้เช่นกัน

เกมอุ่นเครื่องล่าสุดที่เอาชนะ อียิปต์ 3-1 คาเปลโล่ได้อะไรกลับไปเป็นการบ้านบ้าง?

หวังพึ่ง เวย์น รูนี่ย์ คนเดียวไม่ได้

ปีเตอร์ เคร้าช์ ยังเป็นตัวทีเด็ดใช้ในสถานการณ์ขับคัน

เกมรับยังเป็นปัญหาต่อให้ได้ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ฟิตกลับมายืนก็ตามที

ทัวร์นาเมนต์อย่างฟุตบอลโลกมันมีปัจจัยหลายอย่างมาเกี่ยวข้องโดยจากตรงนี้อีกราว 3 เดือนกว่าๆภาพที่เห็น ณ ปัจจุบันอาจไม่เหมือนเดิม

กระนั้นก็ตามคงยากที่จะเชื่อว่าอุบัติเหตุมันเกิดขึ้นแบบรถพลิกคว่ำ

ฟอร์มของกระทิงยังแข็งแกร่งต่อเนื่องซึ่งการบุกไปล้มฝรั่งเศส 2-0 ได้ถึง สต๊าด เดอ ฟร้องซ์ ตอกย้ำให้เห็นว่าพวกเขาพร้อมแล้วกับตำแหน่งแชมป์โลกหลังเพิ่งได้ยูโรมาเมื่อ 2 ปีก่อน

นักเตะทุกตำแหน่งลงตัว 45 เกมหลังสุดชนะถึง 42 ยืนยันได้เป็นอย่างดี

ขณะที่ บิเซนเต้ เดล บอสเก้ มีนายทวารที่ไว้วางใจได้อย่าง อิเคร์ กาซียาส และ โฆเซ่ เรน่า แต่คาเปลโล่กลับมี เดวิด เจมส์, โรเบิร์ต กรีน หรือกระทั่ง โจ ฮาร์ท ให้พิจารณา

ส่วนบราซิล เทียบกับตัวต่อตัวอาจไม่สุดยอดเหมือนอดีตแต่นี่คือทีมที่เน้นผลการแข่งขันพร้อมเล่นสวยงามด้วยตามแบบฉบับดุงก้า

ยุทธวิธีใช้มิดฟิลด์ตัวรับสองคนมี จิลแบร์โต้ ซิลวา กับ เฟลิเป้ เมโล่ ประสบความสำเร็จมาต่อเนื่องเปิดโอกาสให้ฟูลแบ็กสองข้างเติมเกมอย่างสบายใจ

ตัวรุกอย่าง กาก้า, โรบินโญ่, หลุยส์ ฟาเบียโน่, นิลมาร์ ทำผลงานในระดับน่าพอใจจนไม่จำเป็นต้องสน โรนัลดินโญ่ แต่อย่างใด

สิงโตคำรามไม่มีนักเตะคุณสมบัติเหล่านี้อาศัยแค่ชื่อเสียงคุ้นหูสร้างความมั่นใจเท่านั้น

อังกฤษดีพอเป็นแชมป์โลก? คำถามนี้คำตอบเลยง่ายมากว่า มีลุ้นแต่คงไม่ได้...

ปูดเชลซีวางแผนทุ่มแหลกล่าอัลเวส

แท็บลอยด์ผู้ดีตีข่าว ดานี่ อัลเวส แบ็กจอมบุก บาร์เซโลน่า กลับมาเป็นเป้าหมายของ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ในซัมเมอร์นี้ คาดเตรียมทุ่มค่าเหนื่อยมหาศาล หวังล่อใจดาวเตะแซมบ้า มาโชว์เพลงแข้งละตินในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ซีซั่นหน้า



หนังสือพิมพ์ ซันเดย์ ไทม์ส ในอังกฤษ ประโคมข่าว เชลซี สโมสรดังแห่งเวที พรีเมียร์ลีก กำลังจับตาสถานการณ์ของ ดานี่ อัลเวส ฟูลแบ็กบราซิเลียนของ บาร์เซโลน่า โคตรทีมแดนกระทิง และอาจตัดสินใจเดินเครื่องคว้าตัวมาร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์นี้

อดีตดาวเตะ เซบีย่า ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในแบ็กขวาที่ดีที่สุดในโลก และเป็นส่วนสำคัญพา บาร์ซ่า เถลิงบัลลังก์ 3 แชมป์ เมื่อปีก่อน อย่างไรก็ดีมีรายงานว่า "สิงโตน้ำเงินคราม" พร้อมยื่นค่าเหนื่อยมหาศาล ล่อใจ อัลเวส ให้ย้ายมาสู่ถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ และพร้อมทดสอบ "เจ้าบุญทุ่ม" ด้วยการยื่นข้อเสนอ 29 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,624 ล้านบาท) เท่ากับที่พวกเขาจ่ายให้ เซบีย่า เมื่อปี 2006

"สิงห์บลูส์" มีปัญหาแผงหลังได้รับบาดเจ็บต่อเนื่องในฤดูกาลนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในรายของ โชเซ่ โบซิงวา แบ็กขวาโปรตุกีส ที่แทบไม่ได้ลงสนามตลอดซีซั่นนี้ จนทำให้ คาร์โล อันเชล็อตติ มองว่า อัลเวส น่าจะเป็นตัวเลือกที่มีความสม่ำเสมอมากกว่า

เวลานี้ ดาวเตะแซมบ้า ยังไม่ได้เปิดการเจรจาสัญญาฉบับใหม่กับ "เลือดหมู-น้ำเงิน" แทนที่ข้อผูกมัดเก่าที่กำลังจะหมดลงในช่วงซัมเมอร์ 2012 และอาจเปิดช่องทางให้ เชลซี เข้ามาเจรจาติดต่อขอซื้อตัวไปร่วมทีมได้

หนึ่งความรู้สึก หนึ่งทางเดินทีมชาติไทย!

หรือว่าเราต้องขมขื่นอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าบนความชินชาแห่งความล้มเหลวของฟุตบอลไทยที่เข้ามาตีสนิทเป็นความคุ้นชินทั้งๆที่พยายามสลัดแต่ก็ไม่หลุดซะที



เจ้าปลิงตัวนี้จะดูดเลือดเราไปอีกนานแค่ไหน?

บนบทสนทนาระหว่างผมกับตังกุยอาจเต็มไปด้วยความเผ็ดร้อนทว่าสุดท้ายก็จบลงด้วยความว่างเปล่าแห่งคำตอบ

จริงอยู่บางขณะเหมือนจะได้มันอาจเป็นคำตอบที่เราต่างคิดว่าใช่ทว่าไม่รู้ว่ามันใช่จริงหรือไม่

ย้อนกลับไปห้วงคืนแห่งความผิดหวังที่กรุงเตหะรานลึกๆแล้วผมไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรนักอาจเพราะการที่เราตั้งความคาดหวังต่ำทำให้เราไม่เจ็บตัวมากแต่กระนั้นก็เสียดายเหมือนกันที่ทีมของ ไบรอัน ร็อบสัน ต้องมาตกม้าตายพร้อมกับคำสบถหลังเกมว่ากองหน้าตีนบอดเหมือนเคย

ถ้าว่าตามคุณภาพของฟุตบอลไทยเราถีบตัวเองขึ้นมาได้ดีขึ้นมากจากที่เคยเป็น "ลูกไล่" ของอิหร่านผมว่าเราทำได้ดีอย่างน่าทึ่ง เราทำให้พวกเขารำคาญได้ไม่น้อย

อย่างไรก็ดีฟุตบอลของเราก็ยังเป็นแค่ "แมลงหวี่" ที่แค่ทำให้พวกเขาระคายเคืองเท่านั้นแต่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรถึงความเจ็บปวดเพราะไม่ใช่ "ผึ้ง"

ฉะนั้นถ้าเราไม่อาจทำให้คู่ต่อสู้รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เราเผชิญจนกลายเป็นพวกเดียวกันเราก็ยังล้มเหลวอยู่ร่ำไป

ตังกุยบอกว่าจริงๆแล้วบอลไทยต้องพัฒนาเรื่องทัศนคติ กับ วิทยาศาสตร์การกีฬา สำหรับผมเห็นว่าจริงอยู่บ้างส่วนหนึ่งแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด

อย่างแรกตีความหมายได้ค่อนข้างกว้างแต่แน่นอนมันเป็นวิถีทางของมืออาชีพที่จะต้องพึงกระทำ ทัศนคติที่ถูกต้องของมืออาชีพ ซึ่งผมว่าเรื่องนี้นักเตะไทยของเราทำได้ดีขึ้น การได้สวมเสื้อทีมชาติมันมีความหมายแค่ไหนเราต้องปลูกฝังให้ทุกคนเข้าใจจนมีความกระหายอย่างที่สุดไม่ว่าจะเป็นการเล่นในสนาม หรือการประพฤติตัวนอกสนามทั้งการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับตัวเองและผู้อื่น ซึ่งรวมถึงความทุ่มเทในการรักษาสภาพร่างกายจากการฝึกซ้อม กระตือรือร้นที่จะซ้อมในเมื่อเราถูกเลือกว่าเป็น "ความหวัง"ของคนทั้งประเทศ

ว่าถึงวิทยาศาสตร์การกีฬาเป็นส่วนสำคัญสำหรับการสร้างกล้ามเนื้อให้เราแข็งแกร่งขึ้น ทุกวันนี้กีฬาหลายชนิดมืออาชีพต้องใช้วิทยาศาสตร์การกีฬาเข้าช่วยทั้งนั้น

ตังกุยพูดว่าถ้าวิทยาศาสตร์การกีฬาของเราดี ของเราทันสมัยไม่ตกยุคเราอาจได้นักกีฬาอย่าง โรบินโญ่ หรือ เมสซี่ ที่ตัวเล็กแต่ทำไมถึงแข็งแกร่ง โดยเมสซี่นี่ถึงขนาดเป็นนักเตะยอดเยี่ยมของโลกเลย

ใช่จุดนี้ผมเข้าใจแต่ผมก็เถียงเขาเหมือนกันว่าที่จริงแล้วเราลืมไปหรือไม่ว่า เมสซี่ ตัวเล็ก เขาอาจได้รับวิทยาศาสตร์การกีฬาที่ถูกต้อง เขามีความเป็นมืออาชีพ แต่พื้นฐานฟุตบอลของเขาเกิดมาจากจุดไหน

เขาอาจคุ้นเคยกับฟุตบอลอาชีพในอาร์เจนติน่าที่มีนักเตะหลากหลายที่นั่นคงไม่มีแค่นักเตะตัวเล็กๆอย่างเดียวเท่านั้นแต่มันอาจมีนักเตะต่างชาติที่ตัวใหญ่กว่า เขาเจอผู้เล่นแบบนี้จนชิน จนเรียนรู้ว่าวิธีการจะเอาชนะนักเตะตัวใหญ่ที่ทั้งเก่งทั้งคล่องต้องฝึกแบบไหน ต้องทำอย่างไร ครั้นมาย้ายมายุโรปก็ยิ่งได้ปรับปรุงตัวเองมากขึ้นเขาไปอีก บวกกับพรสวรรค์ส่วนตัวเลยกระฉูดอย่างที่เห็น

ทีนี้ย้อนกลับมาถึงฟุตบอลไทยของเรา "ไทยลีก" ของเราเพิ่ง "ตั้งไข่" ขึ้นมาทว่าสมัยก่อนถามว่าถ้าไม่ไปเล่นต่างแดนนักเตะไทยเราจะได้พบกับโลกที่กว้างกว่าหรือเปล่า โลกที่เต็มไปด้วยนักเตะหลากหลายฝีเท้าดี

บอกได้เลยว่าไม่มีทาง ฟุตบอลเรายังอยู่ในวังวนเก่าๆ เป็นกบในกะลาเหมือนเดิม

"ลีซอ" หรือ "เจ้าโก้" ดัสกร อาจเก่งท่ามกลางผู้เล่นระดับสรีระเดียวกันมีความคล่องพวกเขาชนะได้หมดทว่าพอเจอผู้เล่นที่ตัวใหญ่กว่าแถมคล่องด้วยก็จอดป้าย

เราเห็นชัดจากเกมที่เตหะรานนักเตะอิหร่านเร็วกว่าเราอย่างน้อยๆก็ก้าวครึ่ง หนึ่งยาวกว่าในเรื่องของสรีระ แรงปะทะ และสองได้เรื่องเทคนิคเข้ามาเติมด้วยจะเห็นว่าตัวๆเราสู้ไม่ได้แม้พยายามจะงัดสารพัดแท็คติกมาลดช่องว่างแล้วก็ตามที

ดังนั้นผมถึงมองว่ามันถึงเวลาหรือยังที่เราอันหมายถึงสมาคมฟุตบอลไทยต้องเริ่มวางแผนระยะยาวในการกำหนด "สรีระของนักกีฬา" ขึ้นมา จริงอยู่บางคนบอกว่าเรากำลังแก้ที่ปลายเหตุ แต่ผมรู้สึกว่าแม้มันจะเป็นเรื่องของปลายเหตุถ้าเราให้ความสำคัญในระยะยาวนักเตะทีมชาติของเราอย่างแรกจะมีสรีระที่สู้กับต่างชาติได้

ภายใต้ข้อแม้ว่าเมื่อสรีระได้และผสมกับความรู้สึกของตังกุยที่บอกว่าเราพัฒนาเทคนิค,ทัศนคติ รวมถึงวิทยาศาสตร์การกีฬาสอดใส่เข้าไปด้วย ขณะเดียวกันก็ไม่ได้หมายถึงว่าเราจะตัดคนตัวเตี้ยออกไปถ้าตัวเตี้ยแล้วแข็งแกร่งพิสูจน์ตัวเองได้ก็คู่ควรกับการติดทีมชาติเช่นกัน

เราอาจได้ทีมชาติไทยในฝัน

เคสนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องรีบร้อนทำวันนี้แล้วต้องได้เลย ผมว่าทุกคนเข้าใจดี แต่มันเป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นโปรเจกต์อย่างจริงจังไม่ใช่ตามสไตล์นิสัยไทย ชุดนี้ล้มเหลวก็ "ยกเครื่อง" มันร่ำไปโดยไม่มีโครงสร้างและนโยบายหลักเป็นตัวค้ำ

อยากให้ลองจินตนาการถึงว่าทำไม บราซิล ถึงมีส่วนผสมที่หลากหลายในเรื่องสรีระ กองหลัง ลูซิโอ งี้ใหญ่เป็นภูผา กาก้าในตำแหน่งจอมทัพได้สัดส่วน พวกเขามี โรบินโญ่ ที่คล่องแคล่ว มี อาเดรียโน่ ที่ใหญ่ขนาดค้ำบังกองหลังมิด

อาร์เจนติน่า ก็เช่นกันพวกเขามีส่วนผสมของนักเตะในทีมเรื่องสรีระที่ถูกต้องซึ่งเรื่องนี้ลึกๆใครว่าไม่สำคัญ

หรือจะญี่ปุ่นที่สมัยก่อนฟุตบอลของพวกเขาตามหลังเราเยอะแต่ทุกวันนี้คนญี่ปุ่นเน้นเรื่องโภชนาการสรีระของคนในชาติใหญ่และสูงขึ้น ทีมชาติก็เช่นกันพวกเขาเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และ เทคนิค ค่อยๆทำแต่สำคัญต้องเดินไปอย่างถูกทิศทาง สุดท้ายพวกเขาได้ดอกเบี้ยแห่งความพยายามไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย

ที่จริงกองหน้าของเราน่าจะมีความหลากหลายผมนึกถึงว่าถ้าเรามีนักเตะที่หลากหลายคนนึงอาจสูงเท่า "เจ้าโย่ง" วรวุฒิ ศรีมะฆะ แต่ไม่เชื่องช้า มีเทคนิค แถมเด่นในลูกกลางอากาศด้วย เราอาจมีความวูบวาบกว่านี้ ถ้ากองหลังเราใหญ่เหมือน เกียรติประวุฒิ แต่มีความคล่องทางบอลดี เล่นแล้วรู้สึกอุ่นใจ

ถ้าเรามีส่วนผสมที่ดีผมเชื่อว่าด้วยเทคนิคของนักเตะไทยที่ถือว่าดีอยู่แล้ววันนึงเราก็โค่นอิหร่าน หรือญี่ปุ่นได้

เราต้องปรับฟุตบอลของเราให้ทันกับยุคสมัยก่อน เหมือนกับบราซิลหรืออาร์เจนติน่าที่ปรับโดยเราไม่รู้ตัว

ไม่เชื่อลองย้อนไปถึงตอนปี 1994 ที่ว่าบราซิลชุดที่มี คาร์ลอส ดุงก้า เป็นกัปตันทีมเป็นทีมถูกตราหน้าว่าขี้เหร่ที่สุดไม่สะท้อนฟุตบอลแซมบ้าออกมาเลยแต่พวกเขาเป็นแชมป์โลกเพราะได้ความแข็งแกร่งและระเบียบวินัยมาชดเชย

จุดหนึ่งที่ผมเห็นว่าเราเดินกันมาถูกทางแล้วก็คือเราเริ่มจะมีฟุตบอลอาชีพขึ้นมาทุกคนให้ความใส่ใจ ซึ่งนี่แหละที่ทำให้นักเตะเริ่มเรียนรู้ความเป็นมืออาชีพเราได้ลงสนามทุกสัปดาห์พบกับนักเตะแข็งแกร่งนำเข้าทั้งจากแอฟริกัน หรือญี่ปุ่น หรือจะบราซิล เราเจอความหลากหลายมากขึ้น นานเข้าเราจะเรียนรู้ถึงวิธีการเอาชนะนักเตะเหล่านี้

ขอเพียงแค่ว่าฟุตบอลลีกของเราอย่า "แท้ง" ทั้งๆที่ยังไม่ "ท้อง" ก็แล้วกันเชื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อทีมชาติของเรามากทีเดียวเพราะเรากำลังอยู่ในขั้นเรียนรู้และปรับตัว

ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป วางนโยบายให้ดี เชื่อว่าแฟนบอลไทยรอได้

เพราะเราก็รอ เสียใจมาก็หลาย เสียใจอีกทีจะเป็นไร เพราะยังไงเราก็ต้องเชียร์บอลไทยอยู่ดี

ก็ทีมชาติไทยมีทีมเดียวนี่ครับ

หน้าที่ของ GIS ( How GIS Works

ภาระหน้าที่หลัก ๆ ของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ควรจะมีอยู่ด้วยกัน 5 อย่างดังนี้
1. การนำเข้าข้อมูล (Input)
ก่อนที่ข้อมูลทางภูมิศาสตร์จะถูกใช้งานได้ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ข้อมูลจะต้องได้รับการแปลง ให้มาอยู่ในรูปแบบของข้อมูลเชิงตัวเลข (digital format) เสียก่อน เช่น จากแผนที่กระดาษไปสู่ข้อมูลใน รูปแบบดิจิตอลหรือแฟ้มข้อมูลบนเครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์ที่ใช้ในการนำเข้าเช่น Digitizer Scanner หรือ Keyboard เป็นต้น
2. การปรับแต่งข้อมูล (Manipulation)
ข้อมูลที่ได้รับเข้าสู่ระบบบางอย่างจำเป็นต้องได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสมกับงาน เช่น ข้อมูลบางอย่างมีขนาด หรือสเกล (scale) ที่แตกต่างกัน หรือใช้ระบบพิกัดแผนที่ที่แตกต่างกัน ข้อมูลเหล่านี้จะต้องได้รับการปรับให้อยู่ใน ระดับเดียวกันเสียก่อน
3. การบริหารข้อมูล (Management)
ระบบจัดการฐานข้อมูลหรือ DBMS จะถูกนำมาใช้ในการบริหารข้อมูลเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพในระบบ GIS DBMS ที่ได้รับการเชื่อถือและนิยมใช้กันอย่างกว้างขวางที่สุดคือ DBMS แบบ Relational หรือระบบจัดการฐานข้อมูลแบบสัมพัทธ์ (DBMS) ซึ่งมีหลักการทำงานพื้นฐานดังนี้คือ ข้อมูลจะถูกจัดเก็บ ในรูปของตารางหลาย ๆ ตาราง



4. การเรียกค้นและวิเคราะห์ข้อมูล (Query and Analysis)
เมื่อระบบ GIS มีความพร้อมในเรื่องของข้อมูลแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ การนำข้อมูลเหล่านี่มาใช้ให้เกิด ประโยชน์ เช่น
ใครคือเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินผืนที่ติดกับโรงเรียน ?
เมืองสองเมืองนี้มีระยะห่างกันกี่กิโลเมตร ?
ดินชนิดใดบ้างที่เหมาะสำหรับปลูกอ้อย ?
หรือ ต้องมีการสอบถามอย่างง่าย ๆ เช่น ชี้เมาส์ไปในบริเวณที่ต้องการแล้วเลือก (point and click) เพื่อสอบถามหรือเรียกค้นข้อมูล นอกจากนี้ระบบ GIS ยังมีเครื่องมือในการวิเคราะห์ เช่น การวิเคราะห์เชิงประมาณค่า (Proximity หรือ Buffer) การวิเคราะห์เชิงซ้อน (Overlay Analysis) เป็นต้น หรือ ต้องมีการสอบถามอย่างง่าย ๆ เช่น ชี้เมาส์ไปในบริเวณที่ต้องการแล้วเลือก (point and click) เพื่อสอบถามหรือเรียกค้นข้อมูล นอกจากนี้ระบบ GIS ยังมีเครื่องมือในการวิเคราะห์ เช่น การวิเคราะห์เชิงประมาณค่า (Proximity หรือ Buffer) การวิเคราะห์เชิงซ้อน (Overlay Analysis) เป็นต้น


5. การนำเสนอข้อมูล (Visualization)
จากการดำเนินการเรียกค้นและวิเคราะห์ข้อมูล ผลลัพธ์ที่ได้จะอยู่ในรูปของตัวเลขหรือตัวอักษร ซึ่งยากต่อการตีความหมายหรือทำความเข้าใจ การนำเสนอข้อมูลที่ดี เช่น การแสดงชาร์ต (chart) แบบ 2 มิติ หรือ 3 มิติ รูปภาพจากสถานที่จริง ภาพเคลื่อนไหว แผนที่ หรือแม้กระทั้งระบบมัลติมีเดียสื่อต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้ผู้ใช้เข้าใจความหมายและมองภาพของผลลัพธ์ที่กำลังนำเสนอได้ดียิ่งขึ้น อีก ทั้งเป็นการดึงดูดความสนใจ

องค์ประกอบของ GIS ( Components of GIS

องค์ประกอบหลักของระบบ GIS จัดแบ่งออกเป็น 5 ส่วนใหญ่ ๆ คือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) โปรแกรม (Software) ขั้นตอนการทำงาน (Methods) ข้อมูล (Data) และบุคลากร (People) โดยมีรายละเอียดของแต่ละองค์ประกอบดังต่อไปนี้
1. อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
คือ เครื่องคอมพิวเตอร์รวมไปถึงอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ เช่น Digitizer, Scanner, Plotter, Printer หรืออื่น ๆ เพื่อใช้ในการนำเข้าข้อมูล ประมวลผล แสดงผล และผลิตผลลัพธ์ของการทำงาน
2. โปรแกรม
คือชุดของคำสั่งสำเร็จรูป เช่น โปรแกรม Arc/Info, MapInfo ฯลฯ ซึ่งประกอบด้วยฟังก์ชั่น การทำงานและเครื่องมือที่จำเป็นต่าง ๆ สำหรับนำเข้าและปรับแต่งข้อมูล, จัดการระบบฐานข้อมูล, เรียกค้น, วิเคราะห์ และ จำลองภาพ
3. ข้อมูล
คือข้อมูลต่าง ๆ ที่จะใช้ในระบบ GIS และถูกจัดเก็บในรูปแบบของฐานข้อมูลโดยได้รับการดูแล จากระบบจัดการฐานข้อมูลหรือ DBMS ข้อมูลจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญรองลงมาจากบุคลากร
4. บุคลากร
คือ ผู้ปฏิบัติงานซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เช่น ผู้นำเข้าข้อมูล ช่างเทคนิค ผู้ดูแลระบบฐานข้อมูล ผู้เชี่ยวชาญสำหรับวิเคราะห์ข้อมูล ผู้บริหารซึ่งต้องใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ บุคลากรจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในระบบ GIS เนื่องจากถ้าขาดบุคลากร ข้อมูลที่มีอยู่มากมายมหาศาลนั้น ก็จะเป็นเพียงขยะไม่มีคุณค่าใดเลยเพราะไม่ได้ถูกนำไปใช้งาน อาจจะกล่าวได้ว่า ถ้าขาดบุคลากรก็จะไม่มีระบบ GIS
5. วิธีการหรือขั้นตอนการทำงาน
คือวิธีการที่องค์กรนั้น ๆ นำเอาระบบ GIS ไปใช้งานโดยแต่ละ ระบบแต่ละองค์กรย่อมีความแตกต่างกันออกไป ฉะนั้นผู้ปฏิบัติงานต้องเลือกวิธีการในการจัดการกับปัญหาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับของ


วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

ประเภทหรือลำดับของสินค้าและบริการ

เสน่ห์ ญาณสาร (2542) กล่าวถึงประเภทหรือลำดับของสินค้าและบริการในแหล่งกลางซึ่งมี 3 ประเภท ดังนี้
สินค้าอันดับต่ำ (Lower–Order goods) เป็นสินค้าที่จำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวัน (Necessity Goods) เป็นสินค้าราคาต่ำและเป็นประเภทที่มีผู้ซื้อประจำ สม่ำเสมอ
สินค้าอันดับกลาง (Medium–Order goods) เป็นสินค้าที่มีความจำเป็นรองลงไป ราคาปานกลาง เป็นสินค้าประเภทที่มีการซื้อขายไม่บ่อยครั้งนัก เช่น อาจสัปดาห์ละครั้งหรือเดือนละครั้ง
สินค้าอันดับสูง เป็นสินค้าที่มีความจำเป็นน้อยมาก ราคาสูง มีการซื้อขายน้อยครั้งมาก


ประเภทหรือชนิดของขอบเขตสินค้า
ขอบเขตภายนอกในอุดมคติของสินค้า (Ideal outer range of the goods) หมายถึง ระยะทางหรือขอบเขตไกลที่สุดที่ผู้บริโภคสามารถเดินทางไปซื้อสินค้าหรือรับบริการนั้นได้
ขอบเขตภายนอกจริงของสินค้า (Real outer range of the goods) หมายถึง ขอบเขตหรือระยะทางจริงที่ผู้บริโภคเดินทางไปซื้อสินค้าหรือบริการ ขอบเขตภายนอกจริงของสินค้าจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการแข่งขันกันระหว่างแหล่งกลางเพื่อดึงดูดใจลูกค้า
ขอบเขตภายใน (Inner range or Threshold range) หมายถึง ขอบเขตการค้าหรือระยะทางจากแหล่งกลางที่ครอบคลุมเขตการค้ารอบศูนย์กลางนั้น ซึ่งภายในขอบเขตนั้นมีจำนวนผู้ซื้อสินค้าหรือบริการมากพอที่ทำให้กิจการค้าหรือบริการนั้นดำรงอยู่ได้โดยไม่ขาดทุน (เสน่ห์ ญาณสาร 2542 : 105 – 106)

ทฤษฎีแหล่งกลาง Central Place Theory

วอลเตอร์ คริสตัลเลอร์ (Walter Christaller)
W. Christaller’s Central Place Theory posits the size
and distribution of markets and service centers varies
according to relative size (or population).
– A product’s range (or maximum travel distance of a consumer) is limited
– The minimum required market (or threshold) varies by product
• In concert, range & threshold suggest:
– the range of higher order goods is greater than lower order goods
– the threshold for higher order goods is greater

แหล่งกลาง หมายถึงแหล่งตั้งถิ่นฐานในระดับชุมชน ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในด้านการค้าและบริการแก่ประชากรในเมืองนั้นรวมทั้งลูกค้าที่กระจายอยู่รอบเขตตลาดหรือเขตอิทธิพลของชุมชนนั้นด้วย
เนื่องจากประชากรของศูนย์ ลูกค้า และสินค้าในแต่ละแหล่งกลางมีขนาดต่าง ๆ กัน จึงทำให้แหล่งกลางในพื้นที่หนึ่ง ๆ มีขนาดต่างกันเรียกว่ามีลำดับศักย์ (Hierarchy) ต่างกัน
แหล่งกลางที่จัดอยู่ในลำดับศักย์สูงจะมีประชากรของเมืองมาก มีลูกค้า สินค้าและเขตตลาดมากกว่าแหล่งกลางที่อยู่ในลำดับศักย์ต่ำกว่า ซึ่งอาจหมายถึงหมู่บ้านทั้งขนาดและจำนวนของแหล่งกลางจะมีขนาดลดหลั่นกันลงไปตามลำดับศักย์ แต่จำนวนแหล่งกลางขั้นต่ำจะมีมากกว่าแหล่งกลางขั้นสูงในบริเวณหนึ่ง ๆ
แบบจำลองง่าย ๆ ของคริสตัลเลอร์จึงเป็นดังนี้ แหล่งตั้งถิ่นฐานต่ำสุดคือหมู่บ้าน อยู่ห่างเป็นช่วง ๆ เท่ากันและล้อมรอบไปด้วยเขตตลาดรูป 6 เหลี่ยม ทุก ๆ 6 หมู่บ้านจะมีแหล่งกลางที่ใหญ่กว่าตน 1 แห่ง คือ ศูนย์กลางตำบล (Township) ซึ่งจะอยู่ห่างจากอีกแห่งเป็นระยะเท่ากันอีก ตำบลจะมีเขตตลาดใหญ่ขึ้นเพราะต้องเพิ่มบริการซึ่งหมู่บ้านไม่มีเข้าไว้ด้วย เมื่อลำดับศักย์แหล่งตั้งถิ่นฐานสูงขึ้นไป สินค้าและบริการก็จะเพิ่มมากขึ้น ระยะห่างของแหล่งตั้งถิ่นฐานก็จะยิ่งไกลจากกัน เขตตลาดก็จะกว้างขึ้นเพราะประชากรหรือลูกค้าก็มากขึ้นเป็นลำดับ (ฉัตรชัย พงศ์ประยูร 2536 : 77 - 79)